About

วันจันทร์ที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2559

บทที่ 2 ปัญหาเพศศึกษา

คนยุคใหม่ใส่ใจเรื่องเพศ
 

  พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานได้ให้ความหมายของคำว่า “เพศ” หมายถึง “รูปที่แสดงให้รู้ว่า
หญิงหรือชาย  ทั่วไป คำว่า “เรื่องเพศ” หรือในภาษาอังกฤษเรียกว่า เซ็กส์ (sex)  หมายถึง ลักษณะทางกายภาพที่บอกว่าเป็นเพศชาย หรือหญิง บางครั้งหมายถึงแรงขับหรือสัญชาตญาณตามธรรมชาติของมนุษย์ที่แสดงออกเป็นพฤติกรรม บางครั้งหมายถึงพฤติกรรมทางเพศ หรือการมีเพศสัมพันธ์
  เพศศึกษา หมายถึง กระบวนการเรียนรู้ที่จะทำให้ผู้เรียนมีความรู้ความเข้าใจ  และมีพฤติกรรมทางเพศอย่างถูกต้อง
การจัดการเรียนรู้เพศศึกษารอบด้าน หมายถึง การจัดการเรียนรู้ที่มีลักษณะดังนี้
  1.สอนให้เห็นว่า เรื่องเพศเป็นเรื่องธรรมชาติ ความต้องการทางเพศเป็นเรื่องปกติ และเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตที่มีสุขภาวะ
  2.สอนให้เห็นว่า การไม่มีเพศสัมพันธ์ คือ วิธีที่ได้ผลที่สุดต่อการป้องกันการตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์ โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ รวมทั้งเอดส์
  3.สอนให้ตระหนักถึงการให้คุณค่า และตระหนักถึงสิ่งที่ตนเองให้คุณค่าควบคู่ไปกับความเข้าใจว่าครอบครัว และชุมชนที่เราอยู่ให้คุณค่าต่อสิ่งนั้นอย่างไร
  4.ให้สาระที่หลากหลายเกี่ยวกับเรื่องเพศ ไม่ว่าจะเป็นพัฒนาการ ธรรมชาติในเรื่องเพศของมนุษย์ สัมพันธภาพ ทักษะส่วนบุคคล การแสดงออกในเรื่องเพศ สุขภาพทางเพศ มิติด้านสังคมวัฒนธรรมของเรื่องเพศ
  5.ให้ข้อเท็จจริงตรงไปตรงมาไม่ปิดบังในเรื่องการทำแท้ง การสำเร็จความใคร่ด้วยตนเอง ความพึงพอใจ และรสนิยมทางเพศแบบต่างๆ
  6.ให้ข้อมูลทางบวกเกี่ยวกับเรื่องเพศ การแสดงออกทางเพศ ควบคู่ไปกับผลดีของการรักษาพรหมจรรย์
  7.สอนให้รู้ว่า การใช้ถุงยาง และสารหล่อลื่นอย่างถูกต้อง จะทำให้สามารถลดความเสี่ยงต่อการตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์ และการเกิดโรคติดทางเพศสัมพันธ์ แม้ว่าจะไม่ประกันความเสี่ยงได้ 100%
  8.สอนให้รู้ว่า การใช้วิธีการคุมกำเนิดสมัยใหม่สามารถป้องกันการตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์ได้อย่างไร
  9.ให้ข้อมูลที่ถูกต้องชัดเจนเกี่ยวกับโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ และเอดส์ รวมทั้งการหลีกเลี่ยงความเสี่ยงได้อย่างไรบ้าง
  10.สอนให้ตระหนักว่า คำสอน และคุณค่าทางศาสนาที่บุคคลยึดถือมีส่วนกำหนดการดำเนินชีวิต และการแสดงออกทางเพศของบุคคลอย่างไร และให้โอกาสผู้เรียนได้สำรวจความคิด ความเชื่อของตน และครอบครัวต่อเรื่องนี้
  11.สอนให้เห็นว่า เมื่อเด็ก/วัยรุ่นหญิงตั้งครรภ์ไม่ตั้งใจ และไม่พร้อมมีทางเลือกไม่ว่าจะเป็นการอุ้มครรภ์จนครบกำหนดคลอด และเลี้ยงดูทารก หรือเมื่อคลอดแล้วหาทางให้ทารกแก่ผู้อุปถัมภ์อื่น หรือยุติการตั้งครรภ์ด้วยการทำแท้งหากไม่พร้อมจริงๆ
             การวางตัวต่อเพศตรงข้าม
  การวางตัวต่อเพศตรงข้าม หมายถึง การที่ชายหรือหญิงประพฤติปฏิบัติต่อกัน เพื่อสร้างสัมพันธภาพที่ดีระหว่างกันในแบบเพื่อน แบบพี่น้อง หรือแบบคู่รักภายใต้สภาพแวดล้อมตลอดจนขนบธรรมเนียมประเพณีและวัฒนธรรมใน สังคมนั้น ๆ
             การวางตัวต่อเพศตรงข้ามแบบเพื่อน
             การวางตัวต่อเพศตรงข้ามแบบเพื่อน บุคคลควรปฏิบัติต่อเพศตรงข้ามในด้านการพูด การแสดงกิริยาท่าทาง และความประพฤติอื่น ๆ ที่ให้เกียรติซึ่งกันและกัน เช่น ฝ่ายชายไม่ล่วงเกินฝ่ายหญิงหรือที่เรียกว่า แต๊ะอั๋ง เพราะธรรมชาติของผู้ชายแล้วมักถูกเนื้อต้องตัวผู้หญิง ซึ่งบางครั้งผู้หญิงจะคิดไม่ถึง การพูดคำสุภาพต่อกัน ควรช่วยเหลือกันในสิ่งที่พอจะช่วยกันได้ รู้จักแสดงความขอบคุณเมื่อได้รับความช่วยเหลือจากเพศตรงข้าม ไม่ทำให้เพื่อนอับอาย เพราะเราไม่เอาเปรียบซึ่งกันและกันเป็นที่ปรึกษาซึ่งกันและกัน มีความจริงใจต่อกัน ไม่นินทากันลับหลัง มีความห่วงใยและเอื้ออาทรต่อกัน เป็นต้น ถ้าปฏิบัติต่อกันได้เช่นนี้จะทำให้มีสัมพันธภาพที่ดีระหว่างเดียวกันและ เพศตรงข้าม
  การวางตัวต่อเพศตรงข้ามแบบพี่น้อง 
มีทั้งฝ่ายชายเป็นพี่ฝ่ายหญิงเป็นน้องและฝ่ายชายเป็นน้องฝ่ายหญิงเป็นพี่ซึ่งการปฏิบัติ  โดย ทั่วไปก็เหมือน ๆ กับการวางตัวแบบเพื่อน แต่คนเป็นพี่ต้องเสียสละมากกว่า มีความเอ็นดูต่อน้อง ปกป้องน้อง ช่วยเหลือน้อง ให้คำแนะนำสั่งสอนน้องตามสมควร ทำตัวเป็นแบบอย่างที่ดีแก่น้อง วางตัวให้เป็นที่เคารพนับถือของน้อง สำหรับคนที่เป็นน้องก็ต้องให้ความเคารพนับถือพี่ เชื่อฟังช่วยเหลือพี่เมื่อมีโอกาสนอกจากนี้แล้วยังมีการคบกันแบบคู่รักที่แฝงมาในคราบของพี่น้อง ซึ่งฝ่ายหนึ่งอาจไม่รู้ว่าอีก ฝ่ายหนึ่งไม่ได้คิดแบบพี่น้อง หรืออาจจะรู้กันทั้งสองฝ่าย แต่บอกว่าเป็นพี่น้องเพื่อปิดบังผู้ใหญ่ แต่การคบกันแบบพี่น้องหรือแบบคู่รักนั้นผู้ใหญ่จะมองออกเพราะพฤติกรรมที่ แสดงออกต่อกันนั้นจะมีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน
  การวางตัวต่อเพศตรงข้ามแบบคู่รัก 
             การคบกันแบบคู่รักอาจจะเริ่มต้นมาจากการคบกันแบบเพื่อนหรือการคบกันแบบพี่น้อง มาก่อน แล้วก็แปรเปลี่ยนมาเป็นแบบคู่รัก หรืออาจจะคบกันแบบคู่รักเลยก็ได้ อาจจะชอบพร้อม ๆ กัน หรือฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดเป็นฝ่ายชอบก่อน แต่ส่วนมากฝ่ายชายมักจะแสดงออกก่อน เพราะมีความกล้ามากกว่าฝ่ายหญิง แต่ในสังคมปัจจุบันเริ่มแปรเปลี่ยนไปมากแล้ว เพราะฝ่ายหญิงมีความกล้าขึ้น ความเขินอายน้อยลง ซึ่งถือเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เพราะเป็นการทำลายจารีตประเพณีอันดีงามของสังคมไทย
           การวางตัวโดยทั่วไปก็จะเหมือนกับการวางตัวแบบเพื่อน แต่ก็จะมีความพิเศษ ความละเอียดลึกซึ้งเพิ่มขึ้นไป เช่น ช่วยเหลือต่อกันมากขึ้น เสียสละต่อกันมากขึ้น ห่วงใยเอื้ออาทรกันมากขึ้น คำนึงถึงความรู้สึกของอีกฝ่ายหนึ่งมากขึ้น เป็นต้น
การเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย 
             1. ขนาดและความสูง : ในวัยเด็กทั้งเด็กผู้หญิงและเด็กผู้ชายจะมีความกว้างของไหล่และสะโพกใกล้ เคียงกัน   แต่ เมื่อเข้าสู่วัยรุ่น ผู้ชายจะมีอัตราเร็วในการเจริญเติบโตของไหล่มากที่สุด ทำให้วัยรุ่นผู้ชายจะมีไหล่กว้างกว่า ในขณะที่วัยรุ่นผู้หญิงมีอัตราการเจริญเติบโตของสะโพกมาก กว่าผู้ชาย  นอก จากนี้การที่วัยนี้มีการเจริญเติบโตสูงใหญ่ได้รวดเร็ว โดยเฉพาะที่ คอ แขน ขา มากกว่าที่ลำตัว จะทำให้วัยรุ่นรู้สึกว่าตัวเองมีรูปร่างเก้งก้างน่ารำคาญ และการเจริญเติบโตหรือการขยายขนาดของร่างกายในแต่ละส่วน อาจเกิดขึ้นไม่พร้อมกัน หรือไม่เป็นไปตามขั้นตอน เช่น ร่างกายซีกซ้ายและซีกขวาเจริญเติบโตมีขนาดไม่เท่ากันในระยะแรกๆ  ซึ่งเป็นเหตุทำให้เด็กตกอยู่ในความวิตกกังวลสูงได้ จึงควรให้ความมั่นใจกับวัยนี้
             2. ไขมันและกล้ามเนื้อ : เด็กผู้ชายและเด็กผู้หญิงมีความหนาของไขมันที่สะสมอยู่ใต้ผิวหนังใกล้เคียงกัน จนกระทั่งอายุประมาณ 8 ปี  จะเริ่มมีการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว วัยรุ่นชายจะมีกำลังของกล้ามเนื้อมากกว่าวัยรุ่นผู้หญิง พละกำลังของกล้ามเนื้อจะแข็งแรงขึ้น  หลัง จากนั้นวัยรุ่นชายจะมีไขมันใต้ผิวหนังบางลง พร้อมๆกับมีกล้ามเนื้อเพิ่มมากขึ้นและแข็งแรงขึ้น ซึ่งจะทำให้วัยรุ่นชายดูผอมลงโดยเฉพาะที่ขา น่อง และแขน  สำหรับ วัยรุ่นหญิงถึงแม้ว่าจะมีการเพิ่มขึ้นของกล้ามเนื้อ แต่ขณะเดียวกันจะมีการสะสมของไขมันใต้ผิวหนังเพิ่มขึ้นอีกโดยที่น้ำหนักจะ เพิ่มได้ถึงร้อยละ 25 ของน้ำหนัก โดยเฉพาะไขมันที่สะสมที่เต้านมและสะโพก ประมาณร้อยละ 50 ของ วัยรุ่นหญิงจะรู้สึกไม่พอใจในรูปลักษณ์ของตน และมักคิดว่าตัวเอง "อ้วน" เกินไป มีวัยรุ่นหลายคนที่พยายามลดน้ำหนัก จนถึงขั้นที่มีรูปร่างผอมแห้ง
             3. โครงสร้างใบหน้า ช่วงนี้กระดูกของจมูกจะโตขึ้น ทำให้ดั้งจมูกเป็นสันขึ้น กระดูกขากรรไกลบนและ ขากรรไกรล่างเติบโตเร็วมากในระยะนี้ เช่นเดียวกับกล่องเสียง ลำคอ และกระดูกอัยลอยด์ และพบว่าในวัยรุ่นชายจะเจริญเติบโตเร็วกว่าวัยรุ่นหญิงชัดเจน เป็นเหตุให้วัยรุ่นชายเสียงแตก
              4. การเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมน ทั้งฮอร์โมนการเติบโต (growth hormone) และ ฮอร์โมนจาก ต่อมธัยรอยด์มีอิทธิพลต่อการเจริญเติบโต รวมทั้งฮอร์โมนทางเพศ นอกจากระดับฮอร์โมนจะมีผลโดยตรงต่อการเจริญเติบโตทางร่างกาย และอวัยวะเพศในวัยรุ่นแล้ว ตัวของมันเองยังส่งผลถึงความรู้สึกทางอารมณ์และจิตใจ ปฏิกิริยาการเรียนรู้ ฯลฯ ในวัยรุ่นอีกด้วย วัยรุ่นที่จะผ่านช่วงวิกฤตนี้ได้ นอกจากจะต้องปรับตัวให้เข้ากับสภาพร่างกายที่เปลี่ยนไปแล้ว ยังต้องเข้าใจและควบคุมอารมณ์ความรู้สึกที่พลุ่งพล่านขึ้น จากการเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนต่างๆ อีกด้วยโดยเฉพาะต่อมไขมันใต้ผิวหนัง และต่อมเหงื่อจะทำหน้าที่เพิ่มมากขึ้น เป็นสาเหตุทำให้เกิดปัญหาเรื่อง "สิว" และ "กลิ่นตัว" แต่เนื่องจากวัยนี้จะให้ความสนใจเกี่ยวกับร่างกายที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่าง รวดเร็ว และมีความระแวดระวังตัวเองมาก จึงทำให้วัยรุ่นพยายามที่จะรักษา "สิว" อย่างเอาเป็นเอาตาย ทั้งๆที่ "สิว" จะเป็นปัญหาในช่วงวัยนี้แค่ระยะสั้นๆ เท่านั้น
              5. การเปลี่ยนแปลงของอวัยวะเพศ วัยรุ่นหญิงมีการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วในช่วงระยะ 1 ปี ก่อนที่ จะมีประจำเดือน โดยเฉพาะการเจริญเติบโตของเต้านม ซึ่งเริ่มมีการขยายในขนาดเมื่ออายุประมาณ 8-13ปี และจะใช้เวลา 2-2 ปีครึ่ง จึงจะเจริญเติบโตเต็มที่ ในช่วงอายุ 11-13 ปี วัยรุ่นหญิงส่วนใหญ่ (ร้อยละ 80) จะ มีรูปร่างเป็นสาวเต็มตัว ดังนั้นในชั้นประถมตอนปลายหรือมัธยมต้น จะเห็นว่าวัยรุ่นสาวจะมีรูปร่างสูงใหญ่เป็นสาวน้อยแรกรุ่น ในขณะที่พวกผู้ชายยังดูเป็นเด็กชายตัวเล็กๆ ทั้งๆ ที่เด็กผู้หญิงเคยตัวเล็กกว่าเด็กผู้ชายมาตลอด ทำให้เด็กสับสนและเป็นกังวลกับสภาพร่างกายได้
การมีรอบเดือนครั้งแรก จะมีเมื่ออายุประมาณ 12-13 ปี การที่มีประจำเดือนแสดงให้เห็นว่า มดลูกและช่องคลอดได้เจริญเติบโตเต็มที่ แต่ในระยะ 1-2 ปี แรกของการมีประจำเดือน มักจะเป็นการมีประจำเดือนโดยไม่มีไข่ตก รอบเดือนในช่วงปีแรกจะมาไม่สม่ำเสมอ หรือขาดหายไปได้  และเมื่อมีประจำเดือนแล้ว พบว่าเด็กผู้หญิงยังสูงต่อไปอีกเล็กน้อยไปได้อีกระยะหนึ่ง และจะเติบโตเต็มที่เมื่อประมาณอายุ 15-17 ปี การมีรอบเดือนครั้งแรกอาจทำให้รู้สึกพอใจและภูมิใจที่เป็นผู้หญิงเต็มตัว หรืออาจจะรู้สึกในทางลบ คือ หวั่นไหว หวาดหวั่นหรือตกใจได้เช่นกัน โดยทั่วไปการมีรอบเดือนครั้งแรกจะเพิ่มความใกล้ชิดระหว่างวัยรุ่นหญิงกับ มารดาถ้าเคยไว้วางใจกันมาก่อน แต่วัยรุ่นหญิงบางคนจะปกปิดไม่กล้าบอกใคร เพราะเข้าใจไปว่าอวัยวะเพศฉีกขาด หรือเป็นแผลจากการสำรวจตัวของวัยรุ่นเอง  ใน ช่วงนี้วัยรุ่นจะกังวลหมกมุ่นกับรูปร่างหน้าตา และมักใช้เวลาอยู่หน้ากระจกนานๆ เพื่อสำรวจรูปร่าง ส่วนเว้าส่วนโค้งหรือใช้กระจกส่งดูบริเวณอวัยวะเพศด้วยความอยากรู้ อยากเห็น ซึ่งก็ไม่ใช่พฤติกรรมที่ผิดปกติแต่อย่างใด
สำหรับวัยรุ่นชาย ซึ่งจะเริ่มมีการเจริญเติบโตของลูกอัณฑะ เมื่อเข้าสู่ช่วงอายุ 10-13 ปี ครึ่ง และจะใช้เวลานาน 2 - 4 ปี กว่าที่จะเติบโตและทำงานได้อย่างสมบูรณ์ ในขณะที่รูปร่างภายนอกจะมีการเจริญเติบโตเปลี่ยนแปลงช้ากว่าวัยรุ่นหญิง ประมาณ 2 ปี คือ ประมาณอายุ 12-14 ปี ในขณะที่เพื่อนผู้หญิงที่เคยตัวเล็กกว่า กลับเจริญเติบโตแซงหน้า ทำให้วัยรุ่นชายมีความวิตกกังวลเกี่ยวกับรูปร่าง ความสูง ได้มาก  เมื่อเติบโตเข้าสู่วัยรุ่นตอนกลางช่วงวัย 14-16 ปี ลูกอัณฑะเจริญเติบโตและทำงานได้เต็มที่จึงสามารถพบภาวะฝันเปียกได้ บางคนเข้าใจผิดคิดว่าฝันเปียกเกิดจากการสำรวจความใคร่ด้วยตัวเอง หรือเป็นความผิดอย่างแรง หรือทำให้สภาพจิตผิดปกติ หรือบางรายวิตกกังวลไปกับจินตนาการหรือความฝัน เพราะบางครั้งจะเป็นความคิด ความฝันเกี่ยวข้องกับคนในเพศเดียวกัน ซึ่งก็ไม่ถือว่าเป็นเรื่องที่ผิดปกติอย่างใด          
การเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ สังคม 
  ผลจากการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายจะทำให้เกิดผลกระทบต่ออารมณ์และจิตใจได้อย่าง ตรงไปตรงมา ทั้งความวิตกกังวล หงุดหงิด หมกมุ่น ไม่พอใจในรูปร่างที่เปลี่ยนไป
        1. ความวิตกกังวลเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย  เด็กผู้ชายที่เข้าสู่วัยรุ่นช้า จะมีความวิตกกังวลสูงเกี่ยวกับความแข็งแรงของร่างกาย ซึ่งอาจจะไม่มั่นใจในความเป็นชาย รู้สึกว่าตัวเองไม่สมบูรณ์มักลูกล้อเลียน กลั่นแกล้งจากเพื่อนๆ ที่รูปร่างใหญ่โตกว่า มีความภาคภูมิใจในตนเองในระดับต่ำและรู้สึกว่าตัวเองมีปมด้อยฝังใจไปได้อีก นาน วัยรุ่นหญิงที่โตเร็วกว่าเพื่อในวัยเดียวกัน (early mature) มักจะรู้สึกอึดอัดและรู้สึกเคอะเขิน ประหม่าอายต่อสายตาและคำพูดของเพศตรงข้าม ในขณะที่สภาพอารมณ์ จิตใจยังเป็นเด็ก
   2. ความวิตกกังวลกับอารมณ์เพศที่สูงขึ้น  การ เปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนทางเพศ ซึ่งจะส่งผลทำให้วัยรุ่นเกิดอารมณ์เพศขึ้นมาได้บ่อย  วัย รุ่นหลายคนที่มีกิจกรรมส่วนตัวที่เบี่ยงเบนความสนใจ ทำให้สามารถควบคุมอารมณ์ได้อย่างดี โดยเฉพาะในวัยรุ่นที่ชอบเล่นกีฬากลางแจ้งเป็นประจำวัยนี้จะมีความสนใจ อยากรู้อยากเห็นอยู่แล้วเป็นทุน และเมื่อมาผสมกับการที่มีระดับฮอร์โมนทางเพศเพิ่มสูงขึ้น จะทำให้เด็กเรียนรู้ที่จะหัดสำเร็จความใคร่ด้วยตนเอง อยากรู้อยากเห็นกิจกรรมทางเพศผู้ใหญ่ควรเข้าใจถึงความรู้สึกนึกคิดร่วมกับ ความอยากรู้อยากเห็นของวัยรุ่น ควรให้ความรู้ในเรื่องเพศที่ถูกต้อง และถือว่าความรู้สึกในวัยนี้เป็นเรื่องธรรมดา เป็นธรรมชาติอย่างหนึ่งการที่วัยรุ่นจะสำเร็จความใคร่ด้วยตนเองนั้น ไม่มีอันตรายต่อร่างกาย และไม่ถือว่าเป็นเรื่องที่ผิดศีลธรรม ถ้ากระทำอย่างระมัดระวังเป็นส่วนตัว และไม่ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน เป็นต้น
  3.       ความวิตกกังวลกลัวการเป็นผู้ใหญ่   วัย นี้จะมีความคิดวิตกกังวล กลัวจะไม่เป็นที่ยอมรับจากคนรอบข้าง มักจะ กลัวความรับผิดชอบ ซึ่งจะรู้สึกว่าเป็นภาระที่หนักหนา ยุ่งยาก บางครั้งอยากจะเป็นเด็ก อยากแสดงอารมณ์สนุกสนาน ร่าเริง เบิกบาน
             4.       ความวิตกกังวลในความงดงามทางร่างกาย   ไม่ ว่าวัยรุ่นหญิงหรือชายก็จะมีความรู้สึกต้องการให้คนรอบข้าง ชื่นชมเกี่ยวกับรูปลักษณ์ภายนอกของตน สมเพศ สมวัย นั่นเป็นเพราะว่าเด็กจะสำนึกว่าความสวยงามทางกายเป็นแรงจูงใจ ทำให้คนยอมรับ ทำให้เพื่อนยอมรับเข้าไปในกลุ่มได้ง่าย เป็นวิถีทางหนึ่งที่จะเข้าสู่สังคมและเป็นที่ดึงดูดใจของเพศตรงข้าม ช่วงนี้จะเห็นว่าวัยรุ่นจะสนอกสนใจ พิถีพิถันในการเลือกเสื้อผ้า การหวีผม เอาใจใส่ต่อการออกกำลังกาย สนใจคุณค่าทางอาหาร เครื่องประดับ สุขภาพอนามัย การวางตัวให้สมบทบาททางเพศ การวางตัวในสังคม และความสนใจในแต่ละเรื่องอาจอยู่ได้ไม่นาน
การเปลี่ยนแปลงทางจิตใจ 
           1.ความรักและความห่วงใย   ความ รู้สึกอยากที่จะถูกรัก และยังอยากได้รับความเอาใจใส่ ห่วงใยจากบุคคลที่มีความสำคัญต่อเด็ก แต่มักจะมีข้อแม้ว่าจะต้องไม่ใช่การแสดงออกของพ่อแม่ที่ทำกับเขาราวกับเด็ก เล็กๆ ไม่ต้องการความเจ้ากี้เจ้าการ ไม่ต้องการให้แสดงความห่วงใยอยู่ตลอดเวลา
           2. เป็นอิสระอยากทำอะไรได้ด้วยตัวของตัวเอง   อยาก ทำในสิ่งที่ตัวเองคิดแล้วว่าดี อยากมีส่วนในการตัดสินใจ อยากที่จะทำตัวห่างจากพ่อแม่ ห่างจากคำสั่งการเจริญเติบโตในการทำงานของสมอง ทำให้เด็กวัยนี้เริ่มมีความคิดอ่านเป็นของตนเอง เริ่มมีความคิดแบบนามธรรม (abstract thinking) การแยกจากพ่อแม่ในเกือบทุกรูปแบบ บางครั้งอาจทำให้วัยรุ่นเกิดความรู้สึกสับสน สองจิตสองใจ และอาจมีความรู้สึก "สูญ เสีย" ในความรัก ความเอาใจใส่จากพ่อแม่ แต่ถ้าพวกเขายอมรับการดูแลหรือยอมทำตามคำสั่งของพ่อแม่ ก็จะไปขัดกับความต้องการที่จะเป็นเด็กโต เป็นอิสระของตนเองที่ต้องการพึ่งพาตนเอง การให้การเลี้ยงดูจึงต้องอาศัยความเข้าใจ และเคารพในสิทธิส่วนบุคคลด้วย
          3. ต้องการเป็นตัวของตัวเอง   ความ ต้องการที่ ยอมรับในสิ่งที่มาจากตัวของตัวเขาทำให้พวกเขามั่นใจในตัวเอง พ่อแม่คงต้องส่งเสริมให้เด็กได้ช่วยเหลือตัวเองให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ตามวัย เพราะในการฝึกเด็กนั้น นอกจากจะทำให้เด็กได้ใช้มือได้อย่างคล่องแคล่วแล้ว ยังช่วยทำให้เด็กได้หัดคิด หัดตัดสินใจในการกระทำสิ่งต่างๆ ด้วย
         4. อยากรู้, อยากเห็น, อยากลอง  การ ลองผิดลองถูก และคอยสังเกตดูจากปฏิกิริยาของคนรอบข้าง เพื่อตัดสินว่าสิ่งที่ทำนั้น ดีเลวเป็นอย่างไรวัยที่โตขึ้น เมื่อความสามารถเพิ่มขึ้น ร่างกายเจริญเติบโตขึ้นมา สิ่งรอบตัวต่างๆ ที่น่าสนใจ และท้าทายความสามารถก็จะเริ่มเข้ามาเพื่อทดลองการสนับสนุนส่งเสริมเด็กให้คง สภาพอยากรู้ อยากเห็น อยากลองและได้มีโอกาสทดลองสิ่งแปลกๆ ใหม่ๆ ในขอบเขตที่เหมาะสมเพิ่มขึ้นตามวัย จะทำให้เด็กก้าวเข้าสู่วัยรุ่นด้วยความภาคภูมิใจที่ตนเองเคยมีประสบการณ์ ต่างๆ มาบ้างสิ่งเหล่านี้จะมาเสริมความภาคภูมิใจในตนเองดังนั้นจะเห็นว่าการฝึกสอน และให้โอกาสเด็กได้ทดลองทำในสิ่งที่ถูกต้อง ควรฝึกสอนมาตั้งแต่เด็ก และควรค่อยๆ สอนถึงอันตรายในหลายสิ่งหลายอย่างที่มีอยู่ในสังคม และวิธีการแก้ไข เรียนรู้ทั้งสิ่งที่ดีและเลว การฝึกให้เด็กได้ลองในสิ่งที่น่าลอง แต่สนอให้หัดยั้งตัวเองในสิ่งที่อันตรายจึงเป็นวิธีที่สำคัญมาตั้งแต่วัย เรียน            แต่ ในทางตรงกันข้ามในกลุ่มวัยรุ่นที่ไม่เคยถูกฝึกให้ลองคิด ลองทำก่อน จะเกิดความสับสน วุ่นวายใจขาดความรู้ ขากทักษะ ขาดการฝึกฝน ขาดการลองทำผิดทำถูกมาก่อน จึงทำให้กลุ่มนี้ตกอยู่ในกลุ่มที่มีอันตรายสูง และในกลุ่มเด็กวัยรุ่นที่พ่อแม่ปล่อยปละละเลย หรือไม่เคยสอนให้ยับยั้งชั่งใจมาก่อน นึกอยากทำอะไรก็จะทำ ไม่เคยต้องผิดหวัง ไม่เคยสนใจว่าการกระทำของตัวจะส่งผลกระทบต่อผู้คนรอบข้างอย่างไร พฤติกรรม อยากลองของ มักจะมีสูงสุดในช่วงวัยรุ่นตอนกลาง เป็นเด็กก็ไม่ใช่ เป็นผู้ใหญ่ก็ไม่เชิง แนวความคิดและการยับยั้งตัวเองมีไม่มากพอ
           5. ความถูกต้อง ยุติธรรม โดยเฉพาะเมื่อเข้าสู่วัยรุ่นตอนกลาง มักจะถือว่าความยุติธรรมเป็นลักษณะหนึ่งของความเป็นผู้ใหญ่ วัยรุ่นจึงให้ความสำคัญอย่างจริงจังกับความถูกต้อง ยุติธรรมตามทัศนะของตนเป็นอย่างยิ่ง และอยากจะทำอะไรหลายๆ อย่าง เพื่อเรียกร้องความยุติธรรม ทั้งในแง่บุคคลและสังคมส่วนรวม จึงมักจะเห็นภาพวัยรุ่นถกเถียงกันเรื่องของสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นรอบตัว
          6. ความตื่นเต้น ท้าทาย ความต้องการหาประสบการณ์แปลกๆ ใหม่ๆ เกลียดความจำเจซ้ำซาก  วัย รุ่นกลุ่มนี้จะสร้างความตื่นเต้นท้าทายกับการที่กระทำผิดต่อกฎเกณฑ์ต่างๆ ของทางบ้านและกฏของสังคมนั่นเป็นเพราะว่าเป็นความตื่นเต้นและความรู้สึกว่า ถูกท้าทาย   แนวทางการเลี้ยงดูเด็กฝึกให้เด็กได้มี โอกาสทำงานที่ท้าทายความสามารถทีละน้อยอยู่ตลอดเวลา จะส่งผลทำให้เด็กได้พัฒนาความเชี่ยวชาญขึ้นมาได้ แก้ปัญหาได้
         7.ต้องการการยอมรับว่าเป็นส่วนหนึ่งของบ้าน ของกลุ่มเพื่อน     พื้น ฐานการเลี้ยงดูที่ยอมรับและมีความรักความผูกพันระหว่างพ่อแม่เด็ก จะมีผลทำให้เด็กเกิดความรู้สึก ดังที่กล่าวมานี้อย่างง่ายดาย จากการฝึกฝนให้โอกาสเด็กในการตัดสินใจลงมือกระทำหรือแสดงความคิดเห็นใน เรื่องต่างๆ และรับฟังพยายามทำความเข้าใจตาม ถ้าเบี่ยงเบนก็ช่วยแก้ไข ถ้าถูกต้องก็ชมเชยและชื่นชม สิ่งเหล่านี้จะไปกระตุ้นให้เด็กเกิดความรู้สึกเป็นที่ยอมรับจากบุคคลภายใน บ้าน ซึ่งจะส่งผลทำให้เด็กอยากเป็นที่ยอมรับจากเพื่อน จากครูและจากคนอื่นๆ ต่อๆ ไป จึงเป็นเหตุผลจูงใจกระทำความดีมากขึ้นๆ
แต่ ในกรณีตรงกันข้าม ถ้าเด็กคนใดเกิดมาในครอบครัวที่ยุ่งเหยิง ทำให้พ่อแม่ไม่มีปัญหาพอที่จะดูแลเด็ก กลับจะต้องส่งเด็กมาฝากให้ญาติเลี้ยงเป็นภาระ ไม่มีใครเป็นธุระจัดการอะไรให้อย่างออกนอกหน้า ถ้าไม่จำเป็นก็ไม่ค่อยอยากจะรับรู้ รับฟังเรื่องของเด็ก ถึงเวลาจะนานก็ไม่รู้ว่าใครจะให้ความอบอุ่นเมตตาหรือรักได้ มีความรู้สึกโดดเดี่ยว ไม่เป็นที่ต้องการของใครแม้แต่คนเดียวในบ้านไม่ว่าจะถูกหรือทำผิด ทำดีหรือทำชั่วก็ไม่มีคนเห็นคนทัก หาคนที่หวังดีจริงจังในการแนะนำตักเตือนอดทนช่วยฝึกสอนก็ไม่มี ในลักษณะเช่นนี้เด็กจะมีชีวิตที่เลื่อนลอย ไม่รู้สึกว่าตัวเองเป็นสมาชิกภายในบ้าน เป็นคนหนึ่งภายในครอบครัว ไม่มีใครรับฟังปัญหา หรือไม่รู้ว่าจะปรึกษาใคร เมื่อเติบโตไปโรงเรียนก็มักจะพกพาเอาความรู้สึกโดดเดี่ยว ว้าเหว่นี้ไปที่โรงเรียน ความที่ทักษะไม่ได้ถูกฝึกสอนมาตั้งแต่ที่บ้านจึงทำให้ผลการเรียนไม่ดี และมักจะแยกตัวออกจากกลุ่มเพื่อน
การควบคุมอารมณ์ทางเพศ
การจัดการกับอารมณ์เพศอาจแบ่งตามความรุนแรงได้เป็น 3 ระดับ ดังนี้
ระดับที่ 1 การควบคุมอารมณ์ทางเพศ อาจทำได้ 2 วิธี คือ
         1.  การควบคุมจิตใจตนเอง  พยายามข่มใจตนเอง  มิให้เกิดอารมณ์ทางเพศได้ หรือถ้าเกิดอารมณ์ทางเพศ ก็ให้พยายามข่มใจไว้ไม่ให้เกิดอารมณ์ทางเพศ เพื่อให้อารมณ์ทางเพศค่อยๆ ลดลงจนสู่สภาพอารมณ์ที่ปกติ
         2.  การหลีกเลี่ยงจากสิ่งเร้า   สิ่งเร้าภายนอกที่ยั่วยุอารมณ์ทางเพศหรือยั่วกิเลส ย่อมทำให้เกิดอารมณ์ทางเพศได้ ดังนั้น การตัดไฟเสียแต่ต้นลม คือหลีกเลี่ยงจากสิ่งเร้าเหล่านั้นเสียก็จะช่วยให้ไม่เกิดอารมณ์ได้ เช่น ไม่ดูสื่อลามกต่างๆไม่เที่ยวกลางคืนเป็นต้น
ระดับที่ 2  การเบี่ยงเบนอารมณ์ทางเพศ
           ถ้า เกิดอารมณ์ทางเพศจนไม่อาจควบคุมได้ควรใช้วิธีการเบี่ยงเบนเปลี่ยนให้ไปสนใจ ในสิ่งอื่นแทนที่จะหมกมุ่นอยู่กับอารมณ์ทางเพศเช่น ไปออกกำลังกาย ประกอบกิจกรรมนันทนาการต่างๆให้สนุกสนานเพลิดเพลิน ไปทำงานต่างๆเพื่อให้จิตใจมุ่งที่งาน ไปพูดคุยสนทนากับคนอื่น เป็นต้น
ระดับที่ 3  การปลดปล่อยหรือระบายอารมณ์ทางเพศ      
          ถ้าเกิดอารมณ์ทางเพศระดับมากจนเบี่ยงเบนไม่ได้ หรือสถานการณ์นั้นอาจทำให้ไม่มี โอกาสเบี่ยงเบนอารมณ์ทางเพศก็อาจปลดปล่อย หรือระบายอารมณ์ทางเพศด้วยวิธีการที่เหมาะสมกับสภาพของวัยรุ่นซึ่งเป็นนักเรียนโดยทำได้ 2 ประการ คือ
           1.  โดยการฝันนั่นก็คือการฝันเปียก (Wet Dream)ในเพศชาย ซึ่งการฝันนี้เราไม่สามารถบังคับให้ฝันหรือไม่ให้ฝันได้ แต่จะเกิดขึ้นเองเมื่อเราสนใจหรือมีความรู้สึกในทางเพศมากจนเกินไปหรืออาจเกิดการสะสมของน้ำอสุจิมีมากจนล้นถุงเก็บน้ำอสุจิธรรมชาติก็จะระบายน้ำอสุจิออกมาโดยการให้ฝันเกี่ยวกับเรื่องเพศจนถึงจุดสุดยอด และมีการหลั่งน้ำอสุจิออกมา
           2. การสำเร็จความใคร่ด้วยตนเองหรืออาจเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าการช่วยเหลือตัว เอง(Masturbation)ทำได้ทั้งผู้หญิงและผู้ชาย ซึ่งผู้ชายแทบทุกคนมักมีประสบการณ์ในเรื่องนี้แต่ผู้หญิงนั้นมีเป็นบางคนที่มีประสบการณ์  ในเรื่องนี้ การสำเร็จความใคร่ด้วยตนเองเป็นเรื่องธรรมชาติของคนเรา เมื่อเกิดอารมณ์ทางเพศจนหยุดยั้งไม่ได้ เพราะการสำเร็จความใคร่ด้วยตนเองไม่ ทำให้ตนเองและผู้อื่นเดือดร้อน แต่ไม่ควรกระทำบ่อยนัก

          วิธีควบคุมอารมณ์ทางเพศ  
          1. ให้ความสนใจกับการศึกษาเล่าเรียน เพื่อความก้าวหน้า และ ความสำเร็จในการดำเนินชีวิตในอนาคต    
        2. หลีกเลี่ยงการกระตุ้นอารมณ์ทางเพศจากสื่อต่างๆที่เป็นสิ่งเร้าทำให้เกิด อารมณ์ทางเพศเช่นหนังสือต่างๆ
การดูภาพยนตร์หรือวีดีโอที่ยั่วยุอารมณ์ทางเพศ หรือไม่ควรอยู่ตามลำพังกับเพื่อนต่างเพศในที่ลับตาคน        
         3. สนใจเข้าร่วมกิจกรรมต่างๆเช่นดนตรี กีฬา  หรือ วาดรูป  เพื่อจะได้เบี่ยงเบนความสนใจจากอารมณ์ทางเพศและยังทำให้สุขภาพกายและสุขภาพ จิตดีด้วย
         ข้อคิดดีๆเกี่ยวกับความสัมพันธ์เรื่องเพศ
         การมีเพศสัมพันธ์ นอกจากเป็นวิถีทางธรรมชาติอย่างหนึ่งของมนุษย์ ยังมีผลพลอยได้เกิดขึ้นตามมาอีกด้วย นักวิชาการที่ช่างสรรหาเรื่องวิจัยระบุว่า ผลพลอยได้จากการมีเพศสัมพันธ์ สะท้อนออกมาทางกระบวนการทางชีววิทยา ดังนี้
  1. เซ็กซ์คือการบำรุงความงาม การทดลองทางวิทยาศาสตร์ พบว่าขณะผู้หญิงมีเพศสัมพันธ์ เธอจะหลั่งฮอร์โมนเอสโตรเจนออกมาปริมาณมาก ซึ่งทำให้เส้นผมเป็นเงางามและผิวพรรณนุ่มนวล
  2. เพศสัมพันธ์ที่อ่อนโยนและผ่อนคลาย ช่วยลดการอักเสบทางผิวหนัง เช่น สิวและผื่นต่างๆ เหงื่อที่ไหลออกมาเป็นตัวชะล้างรูขุมขน ทำให้ผิวผ่องใส
  3. เพศสัมพันธ์ช่วยเผาผลาญแคลอรีที่คุณกินเข้าไปช่วงมื้อค่ำอันโรแมนติก
  4. เซ็กซ์คือการออกกำลังกายที่ปลอดภัยที่สุด ทั้งช่วยยืดเส้นยืดสายและทำให้กล้ามเนื้อตึงในทุกๆ ส่วนของร่างกาย อีกทั้งน่าสนุกกว่าจ๊อกกิ้งหรือว่ายน้ำสัก 20 เที่ยวเป็นไหนๆ แถมยังไม่ต้องใช้รองเท้ากีฬาแพงๆ
  5. เซ็กซ์ช่วยลดความตึงเครียดได้ดียิ่ง กิจกรรมทางเพศช่วยทำให้ร่างกายหลั่งสารเอนดอร์ฟินส์ในกระแสเลือดทำให้คุณรู้สึกดีขึ้น
  6. มีเซ็กซ์บ่อยๆ คุณยิ่งได้รับสารเคมีที่ชื่อ ฟีโรโมนส์ (Pheromones) มากยิ่งขึ้น
  7. กลิ่นตัวที่ถูกขับออกมาขณะมีความต้องการทางเพศ เป็น 'น้ำหอม' ที่ช่วยกระตุ้นให้เพศตรงข้ามคึกคักได้อย่างเหลือเชื่อ
  8. จูบกันทุกวันลดอาการฟันผุ การจูบกระตุ้นน้ำลายให้ขับน้ำลายออกมา จึงช่วยชะล้างฟันของคุณให้สะอาด
  9. เซ็กซ์แก้ปวดหัวตลอดกระบวนการทางเพศจะช่วยผ่อนคลายความตึงเครียดซึ่งไปปิดกั้นหลอดเลือดในสมองไว้
  10. ร่วมเพศบ่อยๆ ช่วยแก้อาการคัดจมูก เพราะเซ็กซ์เป็นยาแอนตี้ฮิสตามีนจากธรรมชาติ แก้อาการแพ้ฝุ่นแพ้ละอองได้ดี
  11. เซ็กซ์จะเป็นยานอนหลับที่มีประสิทธิภาพดีกว่า แวเลี่ยม (Valium) หลายเท่า
 วัฒนธรรมทางเพศ หมายถึง  วัฒนธรรมที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมทางเพศ ได้แก่ ระเบียบ จารีตประเพณี ศีลธรรมและจริยธรรมอันดีงามของคนไทยในด้านความประพฤติเกี่ยวกับเพศซึ่งเป็นที่ยอมรับนับถือและสืบทอดปฏิบัติต่อเนื่องกันมายาวนาน ตั้งแต่สมัยโบราณจนถึงปัจจุบันซึ่งได้ส่งผลให้ครอบครัวและสังคมไทยมีความสงบสุขร่มเย็น

แหล่งที่มา : หนังสือเรียนสาระทักษะการดำเนินชีวิต รายวิชา สุขศึกษา พลศึกษา ทช31002 ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ฉบับปรับปรุง พ.ศ.2554 หลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2554สำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย สำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงศึกษาธิการ
         

1 ความคิดเห็น: